เมนู

ทรงให้มหาทาน เป็นเหตุให้แผ่นดินไหวเป็นต้น เมื่อสุดสิ้นพระชนมายุ ก็บัง-
เกิดในสวรรค์ชั้นดุสิต ทรงดำรงอยู่ ณ ที่นั้น จนตลอดพระชนมายุ เมื่อเทวดา
ในหมื่นจักวาลประชุมกันทูลว่า
กาโลยํ1 เต มหาวีร อุปฺปชฺช มาตุกุจฺฉิยํ
สเทวกํ ตารยนฺโต พุชฺฌสฺสุ อมตํ ปทํ.
ข้าแต่พระมหาวีระ นี้เป็นกาลอันสมควรสำหรับ
พระองค์ โปรดเสด็จอุบัติในครรภ์พระมารดาเถิด
พระองค์เมื่อทรงยังโลกพร้อมทั้งเทวโลก ให้ข้ามโอฆ-
สงสาร ก็โปรดตรัสรู้อมตบทเถิด.

ดังนี้แล้ว แต่นั้น ทรงสดับคำของเทวดาทั้งหลายแล้วทรงพิจารณามหาวิโลก-
นะ 5 ทรงจุติจากดุสิตสวรรค์นั้นแล้วทรงถือปฏิสนธิ โดยดาวนักษัตรในเดือน
อาสาฬหะหลัง เพ็ญเดือนอาสาฬหะ ในพระครรภ์ของ พระนางสุเมธาเทวี
ในสกุลของพระราชาพระนามว่า สุเทวะ ผู้เป็นเทพแห่งนรชน ดังท้าววาสุเทพ
ผู้พิชิตด้วยความเจริญแห่งพระยศของพระองค์ ณ กรุงรัมมวดี มีราชบริพาร
หมู่ใหญ่คอยบริหาร ไม่ทรงแปดเปื้อนด้วยของไม่สะอาดไรๆ ในพระครรภ์
ของพระมหาเทวี เหมือนก้อนแก้วมณี อยู่ตลอดทศมาส ก็ประสูติจากพระ
ครรภ์ของพระนาง เหมือนดวงจันทร์ในฤดูสารทโคจรไปในหลืบเมฆ.

บุพนิมิต 32



ก็บุพนิมิต 32 ประการ ปรากฏเป็นปาฏิหาริย์ของพระทีปังกรราชกุมาร
พระองค์นั้น ทั้งขณะปฏิสนธิ ทั้งขณะประสูติ ปาฏิหาริย์ 32 ประการ เป็น
ไปในฐานะ เหล่านี้คือ เมื่อพระสัพพัญญูโพธิสัตว์ทุกพระองค์ เสด็จสู่

1. ในที่บางแห่งเป็นกาโล โข

พระครรภ์ของพระมารดา 1 ประสูติ 1 ตรัสรู้ 1 ประกาศพระธรรมจักร 1
เพราะฉะนั้น เราจึงแสดงบุพนิมิต 32 ในการประสูติของพระทีปังกรราชกุมาร
เพราะเป็นของปรากฏแล้ว ดังนี้ว่า
เมื่อพระทีปังกรราชกุมาร ผู้ทำความงาม ผู้ทำ
ความเจริญ ผู้ทำความสงบ ประสูติแล้ว ในครั้งนั้น
หมื่นโลกธาตุก็สะเทือนสะท้านหวั่นไหวโดยรอบ.
ครั้งนั้น เทวดาในหมื่นจักรวาล ก็พากันประชุม
ในจักรวาลหนึ่ง.
พอพระมหาสัตว์ ผู้เป็นพระโพธิสัตว์ประสูติ
เทวดาทั้งหลายก็รับก่อน ภายหลัง พวกมนุษย์จึงรับ
พระองค์.
ขณะนั้น กลองหุ้มหนังและกลองทั้งหลาย ช่อง
พิณและพิณทั้งหลาย อันใครๆ มิได้ประโคม เครื่อง
อาภรณ์ทั้งหลายที่ใครๆ มิได้แตะต้อง ก็ส่งเสียงร้อง
อย่างไพเราะไปรอบ ๆ.
เครื่องพันธนาการทั้งหลายทุกแห่ง ก็ขาดหลุด
ไป โรคภัยทั้งปวงก็หายไปเอง คนตาบอดแต่กำเนิด
ก็มองเห็นรูปทั้งหลาย คนหูหนวกก็ได้ยินเสียงรอบตัว.
คนใบ้แต่กำเนิด ก็ได้สติระลึกได้ คนขาพิการ
ก็ใช้เท้าเดินได้ เรือก็เดินไปต่างประเทศแล้วกลับท่า
เรือสุปัฏฏนะได้อย่างรวดเร็ว.

รัตนะทุกอย่าง ทั้งที่อยู่ในอากาศ ทั้งที่อยู่ภาค
พื้นดิน ก็เรืองแสงได้เองไปรอบ ๆ ไฟในนรกอันร้าย
กาจก็ดับ แม้น้ำในแม่น้ำทั้งหลายก็ไม่ไหล.
แสงสว่างอันโอฬารไพบูลย์ ก็ได้มีในโลกันตริก-
นรก แม้มีทุกข์ไม่ว่างเว้น ครั้งนั้น มหาสมุทรนี้ก็มี
เกลียวคลื่นละลอกสงบ ทั้งน้ำก็มีรสจืดอร่อยด้วย.
ลมที่พัดแรงหรือร้ายกาจ ก็ไม่พัด ต้นไม้ทั้งหลาย
ก็ออกดอกบานสะพรั่ง ดวงจันทร์พร้อมทั้งดวงดาว
ก็จรัสแสงยิ่ง แม้แต่ดวงอาทิตย์ก็ไม่ร้อนแรง.
ฝูงนก ก็ร่าเริงลงจากฟากฟ้าและต้นไม้ มาอยู่
พื้นดินเบื้องล่าง เมฆฝนที่อยู่ใน 4 มหาทวีป ก็หลั่ง
น้ำฝนรสอร่อยไปโดยรอบ.
เทวดาทั้งหลายอยู่ในภพทิพย์ของตน มีจิตเลื่อม
ใส ก็พากันฟ้อนรำ ขับร้อง ประโคม โห่ร้อง สรวลเส
กันอึงมี.
เขาว่า ในขณะนั้น ประตูเล็กบานประตูใหญ่ก็
เปิดได้เอง เขาว่า ความอดอยากหิวระหาย มิได้บีบคั้น
มหาชน ไม่ว่าโลกไรๆ.
ส่วนหมู่สัตว์ที่เป็นเวรกันเป็นนิตย์ ก็ได้เมตตาจิต
เป็นอย่างยิ่ง ฝูงกาก็เที่ยวไปกับฝูงนกเค้าแมว ฝูง
หมาป่าก็ยิ้มแย้มกับฝูงหมู.
งูมีพิษ ทั้งงูไม่มีพิษ ก็เล่นหัวกับพังพอนทั้งหลาย
ฝูงหนูบ้าน มีใจคุ้นกันสนิทก็จับกลุ่มกันใกล้กับหัวของ
แมว.

ความระหายน้ำ ในโลกของปีศาจ ที่ไม่ได้น้ำมา
เป็นพุทธันดร ก็หายไป คนค่อมก็มีกายงามสมส่วน
คนใบ้ก็พูดได้ไพเราะ.
ส่วนหมู่สัตว์ ที่มีจิตเลื่อมใส ก็กล่าวปิยวาจาแก่
กันและกัน ฝูงม้าที่มีใจร่าเริงก็ลำพองร้อง แม้ฝูงช้าง
ใหญ่เมามันก็ส่งเสียงโกญจนาท.
รอบๆ หมื่นโลกธาตุ ก็เกลื่อนกลาดด้วยจุรณ-
จันทน์หอมกรุ่น อบอวลหวลหอมด้วยกลิ่นดอกไม้
หญ้าฝรั่นและธูป มีมาลัยเป็นธงใหญ่งามต่างๆ.
ก็ในบุพนิมิต 32 นั้น

1. ความไหวแห่งหมื่นโลกธาตุ เป็น บุพนิมิต แห่งการได้พระสัพ-
พัญญุตญาณ ของพระองค์
2. การประชุมเทวดาทั้งหลายในจักรวาลเดียว เป็น บุพนิมิต แห่ง
การประชุมพร้อมเพรียงกันรับธรรม ในกาลที่พระองค์ทรงแสดงพระธรรมจักร
3. การรับของเทวดาทั้งหลายก่อน เป็น บุพนิมิต แห่งการได้
รูปาวจรฌาน 4
4. การรับของมนุษย์ทั้งหลายภายหลัง เป็น บุพนิมิต แห่งการได้
อรูปวจรฌาน 4
5. การประโคมของกลองหุ้มหนังและกลองทั้งหลายได้เอง เป็นบุพ-
นิมิต
แห่งการยังมหาชนให้ได้ยินเสียงกลองธรรมขนาดใหญ่
6. การบรรเลงเสียงเพลงได้เองของพิณและอาภรณ์เครื่องประดับเป็น
บุพนิมิต แห่งการได้อนุบุพวิหารสมาบัติ.

7. การที่เครื่องพันธนาการขาดหลุดได้เอง เป็น บุพนิมิต แห่ง
การตัดอัสมิมานะ
8. การปราศจากโรคทุกอย่างของมหาชนเป็น บุพนิมิต แห่งการได้
ผลแห่งสัจจะ 4
9. การเห็นรูปของคนตาบอดแต่กำเนิด เป็น บุพนิมิต แห่งการได้
ทิพยจักษุ
10. การได้ยินเสียงของคนหูหนวก เป็น บุพนิมิต แห่งการได้ทิพ-
โสตธาตุ
11. การเกิดอนุสสติของคนใบ้แต่กำเนิด เป็น บุพนิมิต แห่งการ
ได้สติปัฏฐาน 4
12. การเดินไปได้ด้วยเทาของคนขาพิการ เป็น บุพนิมิต แห่งการ
ได้อิทธิบาท 4
13. การกลับมาสู่ท่าเรือสุปัฏฏนะได้เองของเรือที่ไปต่างประเทศ เป็น
บุพนิมิต แห่งการบรรลุปฏิสัมภิทา 4
14. การรุ่งโรจน์ได้เองของรัตนะทั้งหลาย เป็น บุพนิมิต แห่งการ
ได้แสงสว่างในธรรม
15. การดับของไฟในนรก เป็น บุพนิมิต แห่งการดับไฟ 11 กอง
16. การไม่ไหลแห่งน้ำในแม่น้ำทั้งหลาย เป็น บุพนิมิต แห่งการ
ได้จตุเวสารัชญาณ
17. แสงสว่างในโลกันตริกนรก เป็น บุพนิมิต แห่งการกำจัด
ความมืดคืออวิชชา แล้วเห็นแสงสว่างด้วยญาณ
18. ความที่มหาสมุทรมีน้ำอร่อย เป็น บุพนิมิต แห่งความที่ธรรม
วินัยมีรสเดียว คือรสพระนิพพาน

19. ความไม่พัดแห่งลม เป็น บุพนิมิต แห่งการทำลายทิฏฐิ 62
20. ความที่ต้นไม้ทั้งหลายออกดอกบาน เป็น บุพนิมิต แห่งความ
ที่ธรรมวินัยออกดอกบาน โดยดอกคือวิมุตติ
21. ความจรัสแสงยิ่งของดวงจันทร์ เป็น บุพนิมิต แห่งความที่
พระองค์เป็นที่รักใคร่ของคนเป็นอันมาก
22. ความที่ดวงอาทิตย์สุกใสแต่ไม่ร้อนแรง เป็น บุพนิมิต แห่ง
ความเกิดขึ้นแห่งความสุขกายสุขใจ
23. การโผบินจากท้องฟ้าเป็นต้นสู่แผ่นดินของฝูงนก เป็น บุพนิมิต
แห่งการฟังพระโอวาทแล้วถึงสรณะด้วยชีวิตของมหาชน
24. การตกลงมาแห่งเมฆฝน ที่เป็นไปในทวีปทั้ง 4 ห่าใหญ่ เป็น
บุพนิมิต แห่งฝนคือธรรมขนาดใหญ่
25. การอยู่ในภพของตนๆ ระเริงเล่นด้วยการฟ้อนรำเป็นต้นของ
เทวดาทั้งหลาย เป็น บุพนิมิต แห่งการทรงบรรลุความเป็นพระพุทธเจ้าแล้ว
ทรงเปล่งพระอุทาน
26. การเปิดได้เองของประตูเล็กและบานประตูใหญ่ เป็น บุพนิมิต
แห่งการเปิดประตูคือมรรคมีองค์ 8
27. ความไม่มีความหิวบีบคั้น เป็น บุพนิมิต แห่งการได้อมตะ
ด้วยกายคตาสติ
28. ความไม่มีความระหายบีบคั้น เป็น บุพนิมิต แห่งความมีความ
สุขโดยสุขในวิมุตติ
29. ความได้เมตตาจิตของผู้มีเวรทั้งหลาย เป็น บุพนิมิต แห่ง
การได้พรหมวิหาร 4

30. ความที่หมื่นโลกธาตุ มีธงคันหนึ่งเป็นมาลัย เป็น บุพนิมิต
แห่งความที่พระศาสนามีธงอริยะเป็นมาลัย
31-32. ส่วนคุณวิเศษที่เหลือ พึงทราบว่าเป็น บุพนิมิต แห่งการ
ได้พุทธคุณที่เหลือ.
ครั้งนั้น พระทีปังกรราชกุมาร ถูกบำเรอด้วยสมบัติใหญ่ ทรงจำเริญ
วัยโดยลำดับ เสวยสิริราชย์บนปราสาท 3 หลัง ที่เหมาะแก่ฤดูทั้ง 3 ดั่งเสวย
สิริในเทวโลก สมัยเสด็จไปทรงกีฬาในพระราชอุทยาน ทรงเห็นเทวทูต 3 คือ
คนแก่ คนเจ็บ และคนตาย ตามลำดับ ทรงเกิดความสลดพระหฤทัย เสด็จ
กลับเข้าสู่กรุงรัมมวดี ครั้นเสด็จเข้าพระนครแล้ว ครั้งที่ 4 รับสั่งเรียกนาย
หัตถาจารย์ ตรัสกะเขาว่า พ่อเอย เราจักออกไปชมพระราชอุทยาน ท่านจง
เตรียมยานคือช้างไว้ให้พร้อม เขาทูลรับว่า พระเจ้าข้าแล้ว ก็จัดเตรียมช้าง
84,000 เชือก ครั้งนั้น เทพบุตรชื่อวิสสุกรรม ก็ช่วยประดับพระโพธิสัตว์
ผู้ทรงผ้าห่มผ้านุ่งย้อมสีต่างๆ สวมกำไลมุกดาหารต้นแขน ทรงกำไลพระกรทอง
มงกุฏและกุณฑลประดับด้วยรัตนะ 9 อันงาม พระเมาลีประดับด้วยมาลัยดอกไม้
หอมอย่างยิ่ง ขณะนั้นพระทีปังกรราชกุมาร อันช้าง 84,000 เชือกแวดล้อมแล้ว
เหมือนเทพกุมาร เสด็จขึ้นทรงคอข้างต้น อันหมู่พลหมู่ใหญ่ห้อมล้อมแล้ว เสด็จ
เข้าพระราชอุทยานที่ให้เกิดความรื่นรมย์ ลงจากคอช้างแล้ว เสด็จตรวจพระราช
อุทยานนั้น ประทับนั่งเหนือพื้นศิลา เป็นที่เย็นพระหฤทัยพระองค์เอง งาม
น่าชมอย่างยิ่ง ทรงเกิดจิตคิดจะทรงผนวช ทันใดนั้นเอง ท้าวมหาพรหมผู้
เป็นพระขีณาสพในชั้นสุทธาวาส ถือสมณบริขาร 8 มาปรากฏในคลองจักษุ
ของพระมหาบุรุษ.

พระมหาบุรุษทรงเห็นมหาพรหมขีณาสพนั้นตรัสถามว่า นี้อะไร ทรง
สดับว่า สมณบริขาร ก็ทรงเปลื้องเครื่องประดับ ประทานไว้ในมือพนักงาน
ผู้รักษาเรือนคลังเครื่องประดับ ทรงถือพระขรรค์มงคลทรงตัดพระเกศาพร้อม
ด้วยพระมงกุฏ ทรงเหวี่ยงไปในอากาศกลางหาว ขณะนั้น ท้าวสักกะเทวราช
ทรงเอาผอบทองรับพระเกสาและพระมงกุฏนั้นไว้ ทรงทำเป็นมงกุฏเจดีย์สำเร็จ
ด้วยแก้วมณีสีดอกอินทนิล ขนาด 3 โยชน์ เหนือยอดขุนเขาสิเนรุ ครั้งนั้น
พระมหาบุรุษทรงครองผ้ากาสาวะ ธงชัยแห่งพระอรหัต ที่เทวดาถวาย ทรง
เหวี่ยงคู่ผ้า [คือผ้านุ่งผ้าห่ม] ไปในอากาศ พรหมก็ทรงรับผ้านั้น ทรงทำเป็น
เจดีย์ที่สำเร็จด้วยรัตนะทั้งหมด ขนาด 12 โยชน์ ในพรหมโลก. ก็บุรุษ 1
โกฏิ บวชตามเสด็จพระทีปังกรราชกุมาร ซึ่งกำลังทรงผนวช พระโพธิสัตว์
ซึ่งบริษัทนั้นห้อมล้อมแล้วได้ทรงบำเพ็ญปธานจริยา ประพฤติความเพียร 10
เดือน ต่อมา เพ็ญกลางเดือนวิสาขะ เสด็จเข้าไปบิณฑบาต ยังนครแห่งหนึ่ง.
เล่ากันว่า มนุษย์ทั้งหลายในนครนั้น หุงข้าวมธุปายาสไม่มีน้ำ เพื่อ
ทำสังเวยเทวดาในวันนั้น แต่มนุษย์ทั้งหลายได้ถวายแด่พระมหาสัตว์พระองค์
นั้นพร้อมทั้งบริษัท ที่เสด็จเข้าไปบิณฑบาต ข้าวมธุปยาสไม่มีน้ำ ก็เพียง
พอแก่ภิกษุทั้งหมดนับโกฏิ แต่ในบาตรของพระมหาบุรุษ เทวดาทั้งหลายใส่
ทิพโอชะลงไป พระมหาบุรุษ ครั้นเสวยมธุปายาสนั้นแล้ว ก็ทรงพักกลางวัน
ณ ป่าสาละ ในพระราชอุทยานนั้นเอง เวลาเย็นทรงออกจากที่เร้นแล้ว ก็ทรง
สละคณะ ทรงรับหญ้า 8 กำ ที่ อาชีวก ชื่อ สุนันทะ ถวายแล้ว เสด็จไป
ยังโคนต้นไม้สำหรับตรัสรู้ ชื่อ ปีปผลิ คือไม้เลียบ ทรงปูลาดหญ้าประทับนั่ง
ขัดสมาธิเอาต้นไม้ตรัสรู้ขนาด 90 ศอกไว้เบื้องพระปฤษฎางค์ ทรงอธิษฐานความ
เพียรมีองค์ 4 ประทับนั่ง ณ โคนโพธิพฤกษ์ ต่อนั้น ก็ทรงกำจัดพลของมาร

ณ ราตรีปฐมยาม ทรงระลึกบุพเพนิวาสญาณ มัชฌิมยาม ทรงชำระทิพยจักษุ
ปัจฉิมยาม ทรงพิจารณาปัจจยาการทั้งอนุโลมทั้งปฏิโลม ทรงเข้าจตุตถฌานมี
อานาปานสติเป็นอารมณ์ ออกจากจตุตถฌานนั้นแล้ว ทรงหยั่งลงในขันธ์ 5
ทรงเห็นลักษณะ 50 ถ้วน โดยอุทยัพพยญาณ ทรงเจริญวิปัสสนา จนถึง
โคตรภูญาณ เวลาอรุณอุทัย ก็ทรงแทงตลอดพุทธคุณทั้งสิ้นด้วยอริยมรรค
ทรงบรรลือพุทธสีหนาท ทรงยับยั้งอยู่ใกล้ต้นโพธิ์พฤกษ์ตลอด 7 สัปดาห์ ทรง
ประกาศพระธรรมจักร ณ สุนันทาราม ด้วยทรงปฏิญญารับอาราธนาแสดง
ธรรมของพรหม ทรงยังเทวดาและมนุษย์ร้อยโกฏิให้ดื่มอมฤตธรรม ทรงหลั่ง
ฝนคือธรรม เหมือนมหาเมฆทั้ง 4 ทวีป เสด็จจาริกทั่วชนบท ปลดเปลื้อง
มหาชนให้พ้นจากเครื่องพันธนาการ.
ได้ยินว่า ครั้งนั้น สุเมธบัณฑิต ยับยั้งอยู่ด้วยสุขในสมาบัติ ไม่
เห็นนิมิตเหล่านั้น ไม่เห็นนิมิตแห่งการไหวของแผ่นดิน ด้วยเหตุนั้น จึงตรัสว่า
เมื่อเราประสบความสำเร็จ เป็นผู้ชำนาญใน
ศาสนาอย่างนี้ พระชินเจ้าผู้นำโลก พระนามว่าทีปังกร
ก็เสด็จอุบัติ.
เรามัวเอิบอิ่มด้วยความยินดีในฌานเสีย จึงไม่
ได้เห็นนิมิต 4 ในการเสด็จอุบัติ การประสูติ การ
ตรัสรู้ การแสดงธรรม.


แก้อรรถ
ทรงแสดงคำที่พึงตรัส ณ บัดนี้ ด้วยบทว่า เอวํ ในคาถานั้น. บทว่า
เม แปลว่า เมื่อเรา. บทว่า สิทฺธิปฺปตฺตสฺส ได้แก่ ถึงความสำเร็จอภิญญา

5. บทว่า วสีภูตสฺส ได้แก่ เป็นผู้ชำนาญแล้ว อธิบายว่า ถึงความเป็นผู้
เชี่ยวชาญ. บทว่า สาสเน ได้แก่ ในศาสนาของดาบสผู้อาศัยความสงัด. ฉัฏฐี
วิภัตติพึงเห็นว่าใช้ในลักษณะอนาทระ. บทว่า ชิโน ได้แก่ ชื่อว่าชินะเพราะ
ชนะข้าศึกคือกิเลส.
บทว่า อุปฺปชฺชนฺเต ได้แก่ ในการถือปฏิสนธิ. บทว่า ชายนฺเต
ได้แก่ ในการประสูติจากพระครรภ์พระมารดา. บทว่า พุชฺฌนฺเต ได้แก่ ใน
การตรัสรู้พระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ. บทว่า ธมฺมเทสเน ได้แก่ ในการ
ประกาศพระธรรมจักร. บทว่า จตุโร นิมิตฺเต ได้แก่ นิมิต 4. อธิบายว่า
นิมิตมีหมื่นโลกธาตุไหวเป็นต้น ในฐานะ 4 คือ ถือปฏิสนธิ ประสูติ ตรัสรู้
และประกาศพระธรรมจักร ผู้ทักท้วงในข้อนี้กล่าวว่า นิมิตเหล่านั้นมีมาก
เหตุไรจึงตรัสว่านิมิต 4 ไม่สมควรมิใช่หรือ. ตอบว่า ไม่สมควร หากว่า
นิมิตเหล่านั้นมีมาก แต่ตรัสว่า นิมิต 4 เพราะเป็นไปในฐานะ 4. บทว่า
นาทฺทสํ ได้แก่ นาทฺทสึ แปลว่าไม่ได้เห็นแล้ว. บัดนี้เมื่อทรงแสดงเหตุ
ในการไม่เห็นนิมิต 4 นั้น จึงตรัสว่า มัวเอิบอิ่มด้วยความยินดีในฌาน ดังนี้.
คำว่า ฌานรติ นี้ เป็นชื่อของสุขในสมาบัติ อธิบายว่า ไม่ได้เห็นนิมิต
เหล่านั้น เพราะเพียบพร้อมอยู่ด้วยความยินดีในฌาน.
ก็สมัยนั้น พระทีปังกรทศพล อันพระขีณาสพสี่แสนรูปแวดล้อม
แล้ว เสด็จจาริกไปตามลำดับ ก็ลุนครชื่อ รัมมะ ที่น่ารื่นรมย์อย่างยิ่ง ประ-
ทับอยู่ ณ พระสุทัสสนมหาวิหาร ชาวรัมมนครฟังข่าวว่า ได้ยินว่า พระ
ทีปังกรทศพลทรงบรรลุพระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ ประกาศพระธรรมจักร
อันประเสริฐแล้ว เสด็จจาริกมาโดยลำดับ ถึง รัมมนคร แล้วประทับอยู่ ณ
พระสุทัสสนมหาวิหาร ก็ถือเอาเภสัชมีเนยเป็นต้น ฉันอาหารเช้าแล้ว ก็

ห่มผ้าอันสะอาด ถือดอกไม้ธูปและของหอม เข้าไปเฝ้าพระพุทธเจ้า ครั้นเฝ้า
แล้ว ก็ถวายบังคม บูชาด้วยดอกไม้เป็นต้น นั่ง ณ ที่สมควรส่วนหนึ่ง ฟัง
ธรรมกถาอันไพเราะยิ่ง นิมนต์พระผู้มีพระภาคเจ้าเพื่อเสวยในวันรุ่งขึ้น ลุก
จากที่นั่งแล้ว ทำประทักษิณพระทศพลแล้วกลับไป.
วันรุ่งขึ้น ชาวเมืองเหล่านั้น ก็จัด อสทิสมหาทาน สร้างมณฑป
มุงบังด้วยดอกบัวขาบ อันไร้มลทินและน่ารัก ประพรมด้วยของหอม 8 ชนิด
โรยดอกไม้หอมครบ 5 ทั้งข้าวตอก ตั้งหม้อน้ำ เต็มด้วยน้ำเย็นอร่อยไว้ 4
มุม มณฑปปิดด้วยในตอง ผูกเพดานผ้า งามน่าชมอย่างยิ่ง เสมือนดอก
ชะบา ไว้บนมณฑป ประดับด้วยดาวทอง ดาวแก้วมณีและดาวเงิน ห้อย
พวงของหอมพวงดอกไม้พวงใบไม้และพวงรัตนะ สะเดาะวันเคราะห์ร้ายด้วย
ธูปทั้งหลาย และทำรัมมนครที่น่ารื่นรมย์นั้นให้สะอาดสะอ้านทั่วทั้งนคร ตั้งต้น
กล้วยพร้อมทั้งผลและหม้อเต็มน้ำประดับด้วยดอกไม้ และยกธงประฏากทั้งหลาย
หลากๆ สี ล้อมด้วยกำแพงผ้าม่านทั้งสองข้างถนนใหญ่ ตกแต่งทางเสด็จมา
ของพระทีปังกรทศพล ใส่ดินฝุ่นตรงที่น้ำเซาะ ถมตรงที่เป็นตม ทำที่ขรุ-
ขระให้เรียบ โรยด้วยทรายที่เสมือนมุกดา โรยด้วยดอกไม้ครบ 5 ทั้งข้าวตอก
จัดหนทาง ที่มีต้นกล้วยต้นหมากพร้อมทั้งผลไว้.
สมัยนั้น สุเมธดาบสโลดขึ้นจากอาศรมของตนเหาะไปทางอากาศส่วน
เบื้องบนของมนุษย์ชาวรัมมนครเหล่านั้น เห็นพวกเขากำลังแผ้วถางทางและ
ตกแต่งกัน ก็คิดว่า เหตุอะไรหนอ ลงจากอากาศทั้งที่คนเห็นกันหมด ยืน ณ
ที่สมควรส่วนหนึ่ง ถามคนเหล่านั้นว่า ท่านผู้เจริญ พวกท่านแผ้วถางทางนี้
เพื่อประโยชน์อะไรดังนี้ ด้วยเหตุนั้น จึงตรัสว่า

มนุษย์ทั้งหลาย แถบถิ่นปัจจันตประเทศนิมนต์
พระตถาคตแล้ว มีใจเบิกบาน ช่วยกันแผ้วถางหนทาง
เสด็จมาของพระองค์.
สมัยนั้น เราออกจากอาศรมของตน สลัดผ้า
เปลือกไม้เหาะไปในบัดนั้น.
เห็นคนที่เกิดความโสมนัส ยินดีร่าเริงบันเทิง
ใจแล้ว ก็ลงจากท้องฟ้า ถามมนุษย์ทั้งหลายไปทันที.
มหาชนผู้เกิดความโสมนัส ยินดีร่าเริงบันเทิง
ใจแล้ว พวกท่านแผ้วถางหนทางเพื่อใคร.


แก้อรรถ


บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ปจฺจนฺตเทสวิสเย ได้แก่ ชนบทที่เข้าใจ
กันว่า ปัจจันตประเทศอยู่ข้างหนึ่งของมัชฌิมประเทศนั่นเอง. บทว่า ตสฺส
อาคมนํ มคฺคํ
ความว่า หนทางที่พระองค์พึงเสด็จมา. บทว่า อหํ เตน
สมเยน
ได้แก่ ในสมัยนั้น เรา. คำนี้เป็นตติยาวิภัตติพึงเห็นว่าลงในอรรถ
สัตตมีวิภัตติ. บทว่า สกสฺสมา ได้แก่ ออกจากอาศรมบทของตน. บทว่า
ธุนนฺโต แปลว่า สลัดทิ้ง. พึงทราบว่า สองบทนี้ว่า เตน สมเยน และ
ตทา เชื่อมความกับกิริยา ออกไป ของบทต้น และกิริยาไปของบทหลัง เพราะ
มีความอย่างเดียวกัน. นอกจากนี้ ก็ไม่พ้นโทษคือการกล่าวซ้ำ. บทว่า ตทา
แปลว่า ในสมัยนั้น.
บทว่า เวทชาตํ ได้แก่ เกิดโสมนัสเอง. 3 บทนี้ว่า ตุฏฺฐหฏฺฐํ
ปโมทิตํ
เป็นไวพจน์ของกันและกัน แสดงความของกันและกัน. อีกอย่าง